คำพูดที่ว่า ครอบครัวไม่ใช่ comfort zone สำหรับทุกคน ดูไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยสำหรับสังคมสมัยนี้ ยืนยันได้จากข่าวดังตามโลกโซเชียลที่มักจะมีการทุบตีลูกหรือทำร้ายเด็กเกินควร โดยให้เห็นผลว่า “ก็เด็กมันไม่เชื่อฟัง” หรือ “ฉันเป็นพ่อเป็นแม่ ฉันจะทำอะไรก็ได้” ซึ่งพ่อแม่บางคนก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ตนเองทำ ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเลยสักนิดเดียว กลับเป็นการสร้างบาดแผลในใจเด็กตั้งแต่เล็กเสียมากกว่า ถือเป็น บาปของพ่อแม่ จากการทำร้ายลูก
ในทางกลับกัน การว่ากล่าวตักเตือนพ่อแม่ด้วยความจริงใจของลูก หรือการไม่สนใจเลี้ยงดูตอบแทนบุญคุณ กลับถูกตีว่าเป็นสิ่งที่ผิด เป็นบาป และอกตัญญูเสียอย่างนั้น แต่ทำไมการที่พ่อแม่ด่าลูก หรือทำร้ายลูกไม่ว่าจะด้านร่างกายหรือจิตใจ จึงไม่บาป หรือจริง ๆ แล้วอาจจะบาปแต่เราไม่รู้ งั้นเดี๋ยววันนี้ไปไขข้อสงสัยกับแอดในประเด็นนี้กัน
“กรรม” ตามหลักพระพุทธศานา หมายถึง กรรมที่เกิดจากเหตุแห่งเจตนา แบ่งออกเป็น กรรมดี และกรรมชั่ว ส่วนผลที่เกิดจากกรรมหรือกระทำนั้นเรียกว่า “วิบากกรรรม” หรือ “ผลแห่งกรรรม” ซึ่งจะตามติดตัวเราไปทุกหนทุกแห่งไม่ว่าจะเป็นผลของกรรมดีหรือกรรมชั่ว
คำว่า “บาป” มาจากคำภาษาบาลีคือ “ปาปะ” หรือ “ปาปํ” แปลว่า “ลามก ชั่ว ไม่ดี” ซึ่งถ้าพูดตามพระอภิธรรมและอกุศลกรรมบถแล้ว กรรมหรือการกระทำที่เป็นบาปและให้ผลสำเร็จ ต้องเป็นกรรมหรือการกระทำที่เกิดจากเจตนาให้เป็นแบบนั้น ส่วนการกระทำที่ไม่มีเจตนา จะไม่นับว่าเป็นกรรมและไม่มีผลสำเร็จ
“ผลของกรรมดี” เราเรียกว่า “บุญ” ส่วน “ผลของกรรมชั่ว” เราเรียกว่า “บาป” ทั้ง 2 สิ่งนี้ไม่สามารถที่จะทดแทนได้ บาปก็ส่วนบาปบุญก็ส่วนบุญ เป็นผลจากการกระทำที่ต่างกัน บุญไม่สามารถล้างบาปได้
บาปของพ่อแม่ จากการทำร้ายลูกแบบต่าง ๆ
ก่อนจะไปลงลึกถึงเรื่องบาปหรือไม่บาป เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า สิ่งที่เป็นตัวกำหนดว่าบาปไม่บาปนั้นคืออะไร สิ่งนั้นก็คือเจตนา จะบาปมากบาปน้อยขึ้นอยู่กับเจตนาของการทำสิ่งนั้น ๆ
เหมือนที่พระท่านเคยพูดให้ฟังเรื่องการโกหก การโกหกทุกคนรู้ดีว่าไม่ใช่สิ่งที่ถุกต้อง เป็นการผิดศีลข้อ 4 แต่การโกหกของคนเราก็มีทั้งเจตนาที่ดีและไม่ดี อย่างแพทย์เขาโกหกคนไข้ที่เป็นโรคมะเร็งว่าเป็เพียงไข้หวัด เพราะไม่อยากให้นไข้คิดมาก จนอาการทรุก นั่นเรียกว่า “บาปบริสุทธิ์”
พ่อ แม่ด่าลูกไม่บาปจริงไหม?
การที่พ่อแม่ด่าลูกนั้นถือเป็นบาปเหมือนกัน แต่อย่างที่เกริ่นไปแล้วก่อนหน้านี้ว่า บาปหรือไม่บาปนั้นให้ดู ‘เจตนา’ เป็นหลัก หากพ่อแม่ดุด่า เพราะอยากให้ลูกได้ดี เติบโตไปเป็นที่มีคุณภาพ ไม่เป็นภาระของสังคม อันนี้เราไม่นับว่าเป็นบาป
ยกตัวอย่าง พ่อแม่ดุด่าว่าเราใช้เงินเกินเกินจำเป็น ไม่รู้จักประหยัดอดออม ถือว่าเป็นเจตนาดี ไม่ถือว่าบาป เพราะเขาอยากให้เราบริหารจัดการการเงินได้ โตไปจะได้เลี้ยงตัวเองได้ การเงินไม่ขัดสน เก็บเงินอยู่
แต่หากพ่อแม่ด่าด้วยคำหยาบคายเพียงอย่างเดียว ใช้อารมณ์เป็นหลัก มาทรงนี้ต้องบอกว่าบาปเต็ม ๆ แต่เป็นบาปของคนที่กระทำเองนั่นแหละ เราก็แค่วางเฉยให้ได้ แม้ว่าเราจะรู้สึกไม่พอใจพ่อแม่ที่ทำแบบนั้นกับเราก็ตาม
แม่ตีลูกบาปไหม
จากการสำรวจและวิจัยข้อมูลต่าง ๆ โดย“ลิซ่า เบอร์ลิน” นักวิจัยจากในมหาวิทยาลัยดุ๊ก ประเทศสหรัฐอเมริกา จัดตั้งศูนย์นโยบายเพื่อเด็กและครอบครัว พบว่า… การที่พ่อแม่ตีลูกไม่ว่าจะตีเบาหรือแรง และบ่อยครั้งแค่ไหน มีผลเสียมากกว่าผลดี อีกทั้งยังส่งผลให้เด็กมีปัญหาด้านสุขภาพจิตและพฤติกรรม เช่น ไม่สามารถแยกถูก – ผิดได้ออกจากกันได้ และ ทำให้เด็กก้าวร้าว
นอกจากนี้แล้วยังพบว่า… การตีลูกนั้นยังเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ การอบรมสั่งสอนเลี้ยงดู มอบสิ่งดี ๆ ต่างหากที่เป็นกรแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ พ่อแม่จำเป็นต้องป้อนอะไรที่เป็นกระแสความดีเข้าสู่จิตใจเด็กเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่การทำตัวเป็นแบบอย่าง เช่น พ่อแม่ต้องไม่ทะเลาะกันให้ลูกเห็น และถ้าอยากให้ได้ผลไว ต้องหมั่นทำบุญใส่บาตรให้เขาดู ให้เขามีใจอ่อนน้อม มีความอ่อนโยน
แล้วการตีล่ะ ถือว่าบาปไหม!? แน่นอนว่าถือว่าเป็นบาปอันเกิดจากการทำร้ายร่างกาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องดูเจตนาประกอบ ถ้าตีลูกประชดสามีที่ไม่รับผิดชอบครอบครัว ตีลูกเพราะเมาเหล้าอาละวาด ทำด้วยความโกรธหรือโมโหล้วน ๆ จะถือว่าบาป 100 เปอร์เซ็นต์เลยล่ะ ทว่าหากการกระทำดังกล่าวเกิดจากความปรารถนาดี ตีลูกเพราะหวังจะทำโทษเป็นมาตรการเด็ดขาดเพื่อความถูกต้อง ก็อาจจะคิดเป็นบาป 25 เปอร์เซ็นต์ เป็นบุญ 15 เปอร์เซ็นต์
บาปของพ่อแม่ จากการทำร้ายลูก
เวรกรรมตามทันยิ่งกว่าจรวจ ไม่ต้องรอถึงชาติหน้า คำพูดนี้ไม่เกินจริงเลย มีเรื่องเล่าจากสมาชิกท่านหนึ่งในเว็บ พลังจิต เล่าถึง “เวรกรรมมีจริง คนที่ชอบตีลูกเมีย”
เรื่องมีอยู่ว่า…. มีสามีภรรยาคู่หนึ่งแต่งงานมากว่ายี่สิบปี ตัวสามีนั้นเป็นคนชอบเอาแต่ใจ ขี้โมโห กินเหล้ามาทีก็ตีลูกตีเมีย อาละวาด จะฆ่าฟันกันให้ตายให้ได้ ความที่สามีเป็นคนเช่นนี้นานไปก็อยู่ด้วยกันไม่รอด หย่าร้าง ตัวสามีมีภรรยาใหม่ที่เด็กกว่า
ทีนี้จากที่เคยมีคนทำนั่นทำนี่ เป็นที่รองมือรองเท้า มาเจอภรรใหม่ต้องทำเองทุกอย่าง แถวยังโดนภรรยาใหม่ทำร้ายร่างกาย ตบตีไม่ต่างจากที่ตนเองเคยทำกับภรรยาคนเก่า อยู่มาวันหนึ่งสามีประสบอุบัติเหตุรถคว่ำ เข้าโรงพยาบาล มือข้างที่เคยตบตีลูกเมียสมัยก่อนก็ใช้การไม่ได้ เป็นกรรมตามสนอง จากการทำร้ายคนที่รัก
ฝากไว้เป็นอุทาหรณ์สำหรับชาว Ruay ท่านไหนที่ชอบตบตีลูกแบบไม่มีสาเหตุ ทีนี้ล่ะ ไอ้ที่ว่าพ่อแม่ตีลูก เพราะความปรารถนาดีคงใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
สรุปส่งท้าย
สำนวนไทยที่ว่า “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” ไม่ได้หมายความว่า… ให้ตีลูกอย่างไรก็ได้ อยากตีก็ตี อยากด่าก็ดี ยิ่งตียิ่งเชื่อง ยิ่งเป็นคนดีอะไรแบบนั้น ทว่าจริง ๆ แล้วมันคือการตีลูกหรือทำโทษเมื่อยามที่เขาทำผิด เพราะมนุษย์เราเหมือนม้าพยศ หากไม่มีมาตรการเด็ดขาด เพื่อกำราบเสียบ้าง ก็อาจดิ้นหนีหรือทำเรื่องร้ายแรงได้
ดังนั้นหากพ่อแม่ทำโทษด้วยความปรารถนาดี ไม่อยากให้เขาเป็นภัยแก่ตนและคนอื่น ก็สบายใจได้ว่าเราไม่ได้กำลังทำบาปอยู่ หรือถือเป็น บาปของพ่อแม่ จากการทำร้ายลูกแน่นอน แต่จะให้ดีกว่านั้นควรเริ่มที่การมีเวลาอบรมสั่งสอนเขา ให้รู้ถูกรู้ผิด คุยกันด้วยเหตุผลมากกว่าใช้ความรุงแรงต่อกันจนเกิดความหมางใจ
ขอบคุณเรื่องราวจาก พลังจิต
บทความที่เกี่ยวข้อง