“คลื่นในทะเล…ลมยังมีอยู่เพียงใด คลื่นก็จะมีอยู่เพียงนั้น ถ้าลมหมดไปเมื่อไหร่ คลื่นก็หาย เหมือนกับร่างกายของเรา ถ้าหมดลมเสียเมื่อไหร่ก็ชื่อว่า…ตาย…” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระ ราชปรารภธรรมกับหลวงพ่อพระราชพรหมยานหรือ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ตัดตอนจากหนังสือ “คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง” เล่ม 1
หากจะเอ่ยถึงหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หลาย ๆ คนอาจจะเอ๊ะ… แต่ถ้าเอ่ยนามหลวงพ่อฤๅษีลิงดำก็คงจะร้องอ๋อ…กันขึ้นมาเลย พระอริยสงฆ์ ผู้เป็นที่เคารพนับถือของศานุศิษย์ผู้ปฏิบัติธรรม ในแนวทางแห่งมโนมยิทธิ ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อปาน โสนนฺโท วัดบางนมโค
สารบัญ
Toggleประวัติหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ
เดิมทีท่านชื่อ นายสังเวียน สังข์สุวรรณ เกิดเมื่อ วันเสาร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2459 ที่ตำบลสาลี อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นบุตรชายคนที่ 3 ของนายควง นางสมบุญ สังข์สุวรรณ ในขณะที่ตั้งครรภ์ มารดานอนฝัน เห็นพรหมมีสีเหลืองเป็นทองคำเหมือนพระพุทธรูป นอนลอยไปในอากาศ มีเพชรประดับแพรวพราวทั้งตัว เข้าทางหัวจั่วด้านทิศเหนือ เข้ามานั่งที่ตักท่าน มารดาก็กอดไว้ แล้วก็หายเข้าไปในกาย
เมื่อครั้งที่ท่านเพิ่งลืมตาดูโลกมาใหม่ ๆ ลุงที่บวชเป็นพระและได้ฌานสมาบัติ (หลวงพ่อเล็ก เกสโร) ท่านบอกว่า เจ้าเด็กคนนี้มาจากพรหม ดังนั้นจึงให้ชื่อว่า “พรหม” และต่อมาภายหลัง คนที่จดสำมะโนครัวเขามาเปลี่ยนชื่อให้เป็น “สังเวียน” เนื่องจากท่านเป็นคนใจกล้า ไม่กลัวใคร
เมื่ออายุได้ 7 ขวบ เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนประชาบาลวัดบางโคนม จังหวัดพระนครศรีอยุทธยา จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากนั้นได้ย้ายมาอยู่กับยายแถวตลิ่งชัน แถววัดเรไร ก็ได้เขาศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณ เมื่ออายุได้ 19 ปี รับราชการเป็นเภสัชกรทหารเรือ สังกัดกรมแพทย์ทหารเรือ(ปัจจุบันคือโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า)
เมื่ออายุครบบวชท่าจึงเข้า อุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2479 ที่ วัดบางโคนม อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุทธยา โดยครั้งนั้นมีพระครูรัตนาภอรมย์ เป็นพระอุปฌาย์ พระครูวิหาร กิจจานุการ(ปาน โสนนโท) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ในขณะที่เข้าบวช หลวงพ่อปาน ท่านบอกท่านอุปัชฌาย์ว่า “เจ้านี่หัวแข็งมาก ต้องเสกด้วยตะพดหนักหน่อย”
เมื่อ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ อายุได้ 76 ปี ในวันที่ 30 ตุลาคม 2535 ท่านอาพาธด้วยโรคปอดบวมและติดเชื้อนกระแสเลือด เข้ารักษาที่โรงพยาบาลศิริราช และก็ได้มรณภาพที่โรงพยาบาล เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2535 เวลา 16.10 น. หลังการมรณภาพ สังขารร่างกายของท่านมิได้เน่าเปื่อยแต่อย่างใดเหมือนศพของคนทั่วไป และได้มีการเก็บรักษาไว้ที่วัดท่าซุงจนถึงปัจจุบันนี้
ที่มาของชื่อหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ
หลายท่านคงอยากจะทราบกันบ้างล่ะ ทำไมนะ…ท่านถึงได้ชื่อ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ในตอนท่านเขียนหนังสือประวัติของหลวงพ่อปาน ท่านไม่รู้จะใช้นามปากกาไรดี เพราะถ้าใช้เป็นชื่อพระ คนจะหาว่าท่านอวดอุตริมนุษธรรมกับทั้ง ตอนที่ท่านอยู่กับหลวงปู่ปาน หลวงปู่มักจะเรียกหลวงพ่อกับเพื่อนอีกสองคนว่า ลิงดำ ลิงขาว และลิงเล็กเสมอๆ
ท่านก็เลยเอาชื่อที่หลวงพ่อปานเรียกท่านมาเป็นนามปากกา แล้วท่านก็เติมฤาษีเข้าไปข้างหน้า เพื่อให้สื่อถึงการเป็นผู้บำเพ็ญจึงปรากฎเป็นนามปากกาว่า “ฤาษีลิงดำ” ต่อมาคนอ่านหนังสือประติหลวงพ่อปานกันเยอะมาก ก็เลยตามหากันว่า ท่านเป็นใคร
เมื่อเจอหลวงพ่อท่าน (จริงๆท่านชื่อว่า พระมหาวีระ) แต่ไม่มีใครเรียกชื่อท่านเลย ต่างกคนก็เรียกแต่ ท่านฤาษีลิงดำ ๆๆ ตอนแรกท่านก็บอกว่าท่านไม่ได้ชื่อนี้ท่านชื่อมหาวีระ แต่ส่วนมากคนก็ชอบเรียกท่านว่าท่านฤาษีลิงดำมากกว่า ท่านก็เลย บอก “เออ.. ฤาษีลิงดำก็ฤาษีลิงดำ” ท่านก็เลยใช้ชื่อนี้เรื่อยมา
คำทำนาย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
คำทำนายของหลวงพ่อเคนเป็นที่ฮือฮามาหลายปีก่อน บางท่านอาจจะจำได้ บางท่านอาจจะจำไม่ได้ แม่โลมามีคำทำนายนั้นมาให้จ๊ะ หลวงพ่อท่านเคยบอกเอาไว้ว่า ท่านได้เจอคำทำนายที่อยู่นสมุดข่อยที่พระอรหันต์ในอดีตนามว่า “พระพุทธโฆษาจารย์ (ลำใย) เขียนทำนายชะตาบ้านเมืองไว้ ก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะแตก และก่อนที่กรุงเทพฯ จะมีขึ้น!
หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านกล่าวว่า “ทำไมพระพุทธโฆษาจารย์จึงทำนายเหตุการณ์บ้านเมืองไว้เพียง ๑๐ รัชกาลเท่านั้น กรุงเทพมหานครจะมีพระมหากษัตริย์เพียง ๑๐ พระองค์เท่านั้นหรือ?”
เป็นเรื่องที่หลวงพ่อสนใจเป็นพิเศษ จึงได้สอบถามเรื่องนี้กับหลวงพ่อปาน และพระอาจารย์ต่างๆ ซึ่งจิตของท่านเป็นสมาธิเข้าถึงขั้นอภิญญา สามารถที่จะรู้จริงในเรื่องอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งก็ยังมีอยู่หลายๆ องค์ในขณะนี้ ทุกๆ รูป ต่างก็ยืนยันตรงกันว่า
พระมหากษัตริย์จะยังคงมีอยู่คู่กับชาติไทยตลอดไปอีกนาน มิใช่เพียงแค่ ๑๐ องค์เท่านั้น แต่ที่พยากรณ์ไว้เพียงแค่นั้น ก็เพราะว่าเริ่มตั้งแต่รัชกาลที่ ๑๐ เป็นต้นไป บ้านเมืองจะมั่งคั่งสมบูรณ์ ร่มเย็น ผาสุก ประชาชนในชาติจะร่ำรวย
ประเทศไทยจะเป็นประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่ง ซึ่งจะมีแต่ความเจริญตลอดไป ไม่ล้มลุกคลุกคลานดังที่แล้วมา จึงไม่จำเป็นจะต้องพยากรณ์ต่อไปอีก
คงอยากทราบกันว่า “แล้วหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านทำนายอนาคตบ้านเมืองไว้อย่างไรบ้างหรือไม่?” อาจจะมีเขียนเป็นกลอนต่อท้ายไว้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่จากปากหลวงพ่อ เข้าใจว่าผู้ที่รวบรวมธรรมบรรยาย คงนำที่หลวงพ่อทำนายไว้มาเรียบเรียงอีกต่อ ดังนี้
คำทำนายที่เคยมีมาช้านานนัก เริ่มประจักษ์ให้เห็นเร้นไม่ได้
หลวงพ่อฤาษีลิงดำเคยทำนาย เมื่อถึงปลายรัชกาลผ่านเข้ามา
ประเทศชาติจะรุ่งเรืองและเฟื่องฟุ้ง น้ำมันผุดขึ้นมาจนเห็นค่า
พวกกาขาวจะบินรี้หนีเข้ามา เป็นประชาชนเต็มพระนคร
ชนทั่วโลกจะยกพระองค์ท่าน ชื่อกระฉ่อนร่อนทั่วทุกสิงขร
ออกพระนามลือชื่อดั่งทินกร องค์อมรเอกบุรุษแห่งแผ่นดิน
ชาวประชาจะปีติยิ้มสดใส แต่อกไหม้หนอนกินข้างในสิ้น
จะมีพวกกาฝากคอยกัดกิน เพื่อให้ได้สิ่งถวิลสมจินตนา
จะมีการต่อตีกันกลางเมือง ขุนนางเขื่องกังฉินกินทั่วหล้า
คอรัปชั่นจะกัดกร่อนทั้งพารา ประดุจปลวกกินฝานั้นปะไร
ข้าราชการตงฉินถูกประณาม สามคนหามสี่คนแห่มาลากไส้
เกิดวิกฤติผิดเพี้ยนโดยทั่วไป โกลาหลหม่นไหม้ไร้ความดี
ประชาชีจะสับสนเรื่องดีชั่ว ถ้วนทุกทั่วจะมุดขุดรูหนี
ไม่แน่ใจสิ่งที่ทำนำความดี เกรงเป็นผีตายตกไปตามกัน
พุทธศาสน์จะถูกรุกและล้ำ มิตรเคยค้ำเป็นศัตรูมุ่งอาสัญ
เกิดวิกฤติธรรมชาติอุบาทว์ครัน พายุลั่นน้ำถล่มดินทลาย
แผ่นดินแยกแตกเป็นสองปกครองยาก เกิดวิบากทุกข์เข็ญระส่ำระสาย
เกิดการปราบจลาจลชนล้มตาย เลือดเป็นสายน้ำตานองสองแผ่นดิน
ข้าเป็นนายนายเป็นข้าน่าสมเพช ผู้มีบุญมีเดชจะสูญสิ้น
ทั้งพฤฒาจารย์ลือระบิล จะร่วงรินดุจใบไม้ต้องสายลม
ความระทมจะถมทับนับเทวศ ดั่งดวงเนตรมืดบอดสุดขื่นขม
คนที่ดีจะก้มหน้าสุดระทม ส่วนคนชั่วหัวร่อทำท่าดัง
จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว ควงคทามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง
ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียวใจ
ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้
จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา
คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา
ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา ยามเมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ.
สุดยอดพระเครื่องหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ
พระคำข้าว (พระมหาลาภ)
ในตอนนี้ถือได้ว่าพระคำข้าวนั้นหาของแท้ได้ยากพอสมควร เพราะโดยส่วนมาจะเก็บสะสมมากกว่า พระคำข้าวเป็นพระเนื้อผงสีขาวปางมารวิชัย ด้านหลังเป็นรูปหลวงพ่อ นั่งในกรอบรูปพัดยศ มีชื่อ พระราชพรหมยาน อยู่ตรงที่นั่ง
องค์พุทธคุณครอบจักรวาล เด่นในด้านมหาลาภ สร้างแบบพระพุทธชินราช มี 2 รุ่น รุ่นที่ 1 ปลุกเสกเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2533 จำนวน 100,000 องค์ รุ่นที่ 2 สร้าง 5,000,000 องค์ ปลุกเสก 2 ครั้ง คือ 29 ธันวาคม 2533 และ 28 พฤษภาคม 2534
พระหางหมาก
เป็นพระเนื้อผงสีชมพูพิมพ์ปรกตินั้นเข้าพิธีพุทธาภิเษกในงานเป่ายันต์เกราะเพชรเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2533 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,000,000 องค์ ส่วนพระหางหมากพิมพ์พิเศษ เข้าพิธีพุทธาภิเษกเมื่อ เดือนกรกฎาคม 2535 พร้อมกับสมเด็จองค์ปฐมรุ่น 2 มีจำนวนทั้งสิ้น 100,000 องค์
พุทธคุณเด่นทางด้านป้องกันภัยและเจรจาเป็นที่จับใจ ควรภาวนาคู่กับพระคาถาเงินล้าน แผ่เมตตาไปให้ทั่วจักรวาลอธิษฐานขอได้วันละ 1 อย่าง
วิธีอาราธนา พระคำข้าว และ พระหางหมาก
ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหมด รวมทั้ง เทวดาและพรหม ครูบาอาจารย์ทั้งหมด มีหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อ.เสนา จ.อยุธยา เป็นที่สุด
แล้ว ตั้งนะโม ๓ จบ ปฎิบัติตามปกติว่า อิติปิโส ๑ จบ หลังจากนั้นให้อธิษฐานเอาตามความประสงค์ เมื่ออธิษฐานแล้ว ปลุกด้วยคาถาปลุกพระของหลวงพ่อปานว่า
“ อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง ขอเดชะ เดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่ง แก่มะอะอุนี้เถิด”
ปาฏิหาริย์พระคำข้าว-พระหางหมาก
โดยทั่วไปแล้วหากเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อจะเป็นที่รู้กันว่าจะห้อยพระคำข้าวคู่กับพระหางหมาก เพราะจะได้ผลเร็วเป็นอัศจรรย์ แต่ถ้าจะให้ดีต้องใช้ควบคู่กับคาถาเงินล้านด้วย ดังมีตัวอย่างของผู้ที่มีพระทั้งสองอยู่ได้พบเจอเหตุการณ์ที่อัศจรรย์ใจ
ผู้ที่ศรัทธาท่านหนึ่งได้เล่าให้ฟังว่า เอาพระคำข้าวและพระหางหมาก เหรียญของหลวงพ่อติดตัวไป และวางไว้หน้ารถแท็กซี่ ในขณะขับไป บังเอิญเด็กวิ่งตัดหน้ารถ เบรกไม่ทัน รถแท็กซี่ได้ชนกับเด็ก กระเด็นไป ๔-๕ วา กระโปรงหน้ารถยนต์ฉีก
และได้อุ้มเอาเด็กขึ้นรถไปโรงพยาบาล ขอให้แพทย์ช่วยตรวจ และเอ็กเรย์ให้ ปรากฏว่าหมอบอกว่าไม่มีอะไรผิดปกติ จะฟกช้ำดำเขียว ถลอกก็ไม่มี รถชนขนาดนี้ต้องไม่เหลือสักราย หรือไม่ก็ป่วยหนักเสียสุขภาพ
อีกหนึ่งเรื่องที่เป็นข่าวขึ้นหน้าหนังสือพิมพ์มาแล้ว ร.ท.หนุ่มรับโทรศัพท์เก๋งเสียหลักพลิกคว่ำ ห้อยพระคำข้าวพลวงพ่อฤาษีลิงดำ รอดปาฏิหาริย์
โดยเมื่อวันที่ 25 มี.ค 57 เวลาประมาณ 21.30 น. นายทหาร จปร. ท่านหนึ่ง ใน จ.นครนายก ขับรถเก๋งมาคนเดียว กำลังมาจากบ้าน จ.พิษณุโลก กำลังจะกลับ ค่าย จปร. จังหวัดนครนายก
ขับมาถึงระหว่างทางพอดีมีมือถือดังจึงรีบคว้าโทรศัพท์ ทำให้รถเสียหลักวิ่งตกไหล่ทางกลางเลนถนนพยายามจะหักพวงมาลัยรถไม่ให้เสียการทรงตัวของรถแต่ช้าไป รถได้เสียหลักตกลงไหล่ทางและพลิกคว่ำ ไกลประมาณ 50 เมตร และตนเองติดอยู่ในรถ
พลเมืองดีที่เห็นเหตุการณ์มาช่วยงัดประตูรถออกมาได้อย่างปลอดภัย โดย นายทหาร จปร. ท่านนั้น ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด โดยที่คอมีสร้อยทองแขวน พระคำข้าว(รุ่นแรก) ของ ของพลวงพ่อฤาษีลิงดำ
สรุป
สำหรับท่านที่ยังสงสัยในพุทธคุณของพระเครื่องของ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ อยู่ว่ามีพุทธคุณเด่นในด้านใดบ้าง แม่โลมาของสรุปให้อีกครั้งว่า พุทธคุณของพระเครื่องหลวงพ่อท่าน มีอานุภาพครอบจักรวาล โดดเด่นในด้านมหาลาภ(พระคำข้าว) และ เด่นทางด้านป้องกันภัยและเจรจา(พระหางหมาก) แต่ถ้าหาก ภาวนาคู่กับพระคาถาเงินล้านจะทำให้ได้ผลเร็วอย่างน่าอัศจรรย์เลยทีเดียว
ปิดท้ายนี้ขอยกคำสอนของหลวงพ่อมาเตือนใจทุกท่านสักหน่อย “ถ้าถูกคนกลั่นแกล้ง ไม่ต้องไปแช่งเขานะ ไปแช่งเขาไม่มีผล กำลังเราตก ถ้าเป็นฆราวาสเวลาสวดมนต์เสร็จอุทิศส่วนกุศลกรวดน้ำ ให้เขาเป็นสุข แต่เราต้องทำเฉยๆ นะ ทำจิตให้เป็นสุข ไม่โกรธ ห้ามเสียใจ บูชาพระด้วยจิตเป็นสุข ถ้าเอาจริง ๆ นะ ไม่เกิน 3 เดือน จอดแน่ ๆ เลย”