‘ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ ก็เอาด้วยคาถา’ ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าสำนวนนี้ยังคงถูกพูดถึงให้ได้ยินกันในสมัยนี้ แม้ว่าปัจจุบันเทคโนโลยีที่ทันสมัยและวิทยาศาสตร์จะเข้ามามีบทบาทในสังคมก็ตาม แต่ศาสตร์มนต์ขลังต่าง ๆ รวมถึงการ “ลงนะหน้าทอง” ก็ยังคงได้รับนิยมมาเป็นเวลานานกว่าร้อยปี

แต่จะมีใครทราบบ้างว่าการลงนะหน้าทองนั้น มีที่มาที่ไปอย่างไร นิยมทำกันที่ไหน ส่วนไหน และที่สำคัญ ข้อห้ามลงนะหน้าทอง หลังจากทำพิธีลงเรียบร้อยแล้วควรปฏิบัติตนอย่างไร ตาม Ruay ไปสืบค้นเรื่องราว “การลงนะหน้าทอง” ในแง่มุมต่าง ๆ ที่ไม่รู้จริงอย่าคิดทำ!

ลงนะหน้าทอง คืออะไร 

การลงนะหน้าทอง เป็นศาสตร์ที่มีอำนาจสูงส่งทางด้านการเสริมดวงชะตาบารมี เสริมสิริมงคล รวมไปถึงเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ และโชคลาภ ความเจริญรุ่งเรือง จัดเป็นวิชาไสยศาสตร์ที่มีอำนาจ ชั้นสูงที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธคุณ ไม่ใช่วิชาสายต่ำหรือมนต์ดำ

เป็นที่เชื่อกันว่าผู้ใดที่ได้ลงนะหน้าทองถือว่าเป็นวาสนาแห่งบุคคล จากที่ไม่เคยมีใครรัก ก็กลับมามีคนเมตตารักใคร่ ที่ทำมาหากินไม่ดี ก็กลับมาค้าขายมีกำไร ชีวิตที่อับเฉาก็จะไม่แห้งเหี่ยวอีกต่อไป จะเกิดแต่สิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิต พลิกชะตาจากร้ายกลายเป็นดีอย่างไม่น่าเชื่อ 

อาชีพที่เหมาะสำหรับการลงนะหน้าทอง ความจริงแล้วเป็นอาชีพไหนใดก็ได้ แต่จะเน้นเฉพาะอาชีพค้าขาย ที่ต้องพบปะลูกค้า ต้องเจอและเจรจาต่อรองธุรกิจ จะนิยมมาลงนะหน้าทองกัน เพราะเชื่อว่าทำให้เกิดมีเสน่ห์ที่ใบหน้า ค้าขายเจริญรุ่งเรือง มีคนรักใคร่เอ็นดูเมตตาเจ้านายเมตตาสม่ำเสมอ การงานก้าวหน้า ซึ่งส่วนใหญ่จะทำคู่กันกับ “สาริกาลิ้นทอง” เพราะช่วยในเรื่องการพูดจา ให้มีเมตตา มีเสน่ห์

แม้กระทั่ง ดารา นักแสดง นักร้อง ก็นิยมมาทำเช่นกัน เพราะต้องการเป็นที่ยอมรับ อยากให้แฟนคลับท่วมท้น มีงานเข้ามาตลอด โดยมีความเชื่อว่าจะช่วยให้ประสบความสำเร็จ เงินทองไหลมาเทมา ทำอะไรก็จะราบรื่น เพราะมีแต่คนรักใคร่เอ็นดู

ตำนาน นะหน้าทอง

การลงนะหน้าทองได้รับการศรัทธาในสังคมคนไทยตั้งแต่โบราณกาล โดยมีเรื่องราวและตำนานปรากฏอยู่ในตำรับคัมภีร์โบราณ ดั่งจะเห็นได้จากวรรณคดี “เรื่อง ขุนช้าง ขุนแผน” ที่ตำนานนะหน้าทอง ปรากฎเป็นหลักฐานชัดเจนว่าคนไทยสมัยนั้นนิยมไปให้พระเถราจารย์ที่มีความชำนาญในด้านนี้เป็นผู้ลงนะหน้าทองให้ 

และเป็นวิชาไสยศาสตร์ตามลัทธิพราหมณ์ ที่สืบเนื่องมาจากวรรณคดี “เรื่องรามเกียรติ์” คือ  ภายในเรื่องรามเกียรติ์นั้นมี “พระลักษณ์” ซึ่งมีรูปกายเป็นสีทอง มีศักดิ์เป็นน้องของพระราม พระลักษณ์นี้มีลักษณะ สง่างาม เป็นที่รักของมนุษย์และเทวดา ด้วยคุณของพระลักษณ์ดังกล่าวมานี้  ต่อมาจึงได้เล่าขานและถือเป็นคติในการสร้างวิชาสายเมตตามหานิยม และมหาเสน่ห์ นะหน้าทอง

ที่มาที่ไปของวิชานะหน้าทอง

ที่เรียกว่า “นะหน้าทอง” เนื่องจากมีการใช้ทองคำเปลวบริสุทธิ์ ที่ถือว่าเป็นของสูง เปรียบได้กับธาตุทอง และทองเป็นธาตุที่มีแสงสว่างภายในตัวโดยตามธรรมชาติ ไม่มีวันเสื่อมคุณค่า ไม่ว่าจะโดนน้ำ โดนไฟ โดนลม ก็ไม่ทำให้เสื่อมคุณภาพ อีกทั้งสื่อถึงความเป็นสิริมงคล ตัวแทนของความดี ความงาม และความสว่าง

ด้วยคุณค่าของทองคำ และความหมายอันดีงาม โบราณจารย์ในสมัยก่อน จึงได้คิดค้นวิชานะหน้าทองขึ้น เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ลง โดยจะทำการใช้ทองคำเปลวบริสุทธิ์ลงที่ใบหน้าของผู้ที่ประสงค์ให้ตนมีสง่าราศี ประกอบกับจารึกอักขระที่ลงนั้น มีสูตรการเรียกเฉพาะตนว่า “ตัวนะหน้าทอง” และยันต์ที่ลงก็จะมีสูตรถือเป็นเคล็ดของครูบาอาจารย์ ซึ่งแต่ละท่านจะมีสูตรวิชาที่ไม่เหมือนกัน ตามประสบการณ์ที่สั่งสมและเรียนรู้ที่สืบทอดรับต่อ ๆกันมา

จุดที่ลงนะหน้าทอง

การลงนะหน้าทองนั้นแบบเต็มสูตร จะมีตำแหน่งต่าง ๆ 9 จุด ดังนี้

-หน้าผาก จุดสำคัญที่สุดในการลงนะหน้าทอง คือ จุดใหญ่ที่สุดของใบหน้า และเป็นจุดที่สามารถเห็นเด่นชัด ถือว่าเป็นที่รวมของความสิริมงคลบนใบหน้า 

-เปลือกตาหรือใต้ตา จุดนี้เพื่อให้ใครสบตาเรา หรือในขณะที่เรากระพริบตา ผู้ที่มองเราอยู่จะรู้สึกนึกรัก และนิยมในตัวเรา

-แก้ม การลงที่แก้มจะเรียกว่าวิชาพรหมสี่หน้า เป็นเมตตาอย่างประเสริฐ เพื่อให้เป็นที่รักใคร่

-กราม เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือเวลาพูด

-ติ่งหูสองด้าน เชื่อว่าเป็นที่สถิตของเทวดารักษาอายุ ทำให้อายุยืนยาว 

-ท้ายทอย เพื่อเป็นที่รักในขณะที่คนมองเราแม้เพียงแค่ด้านหลัง

-ลิ้น เรียกว่า “สาลิกาลิ้นทอง” เป็นวิชาลงทองที่มีสูตรฉพาะแยกออกมาอีกสาขาหนึ่ง

-กระหม่อม เป็นจุดเข้า-ออกของวิญญาณ และปราณพลังชีวิต ถือเป็นจุดศูนย์รวมของพลังชีวิตมนุษย์และเป็นที่สถิตของเทวดา

-คาง ส่วนที่ต่ำสุดของใบหน้า เพื่อให้เป็นที่น่าเคารพยำเกรง

แต่โดยส่วนใหญ่แล้วการลงนะหน้าทองนั้นแบบเต็มสูตรทั้ง 9 จุดดังกล่าวไม่ค่อยนิยมทำกัน ส่วนมากมักจะนิยมลงเป็นจุด ๆ ไป คือ หน้าผาก แก้ม หรือคาง ก็เพียงพอแล้ว ขึ้นอยู่กับพลังศรัทธาและการปฏิบัติตนของผู้ที่ลงมากกว่า

การปฏิบัติตนก่อน-หลัง ของผู้ที่ลงนะหน้าทอง 

การเตรียมตัวก่อนลงนะหน้าทอง

ควรเลือกวันที่เหมาะสม อย่างวันพฤหัสบดี เพราะถือว่าเป็นวันครู ควรทำในช่วงเวลากลางวัน ไม่นิยมทำในช่วงหลังตะวันตกดินไปแล้ว 

ส่วนสถานที่นั้นไม่ควรจะเป็นที่ลับ ส่วนตัว ต้องโปร่งโล่ง สามารถให้เพื่อนหรือคนอื่นอยู่ด้วยในขณะทำพิธีได้ ของที่ต้องเตรียมมีแผ่นทองคำ กับชุดดอกไม้สำหรับบูชาครู ซึ่งบางที่จะจัดเตรียมไว้ให้

หลังพิธีลงนะหน้าทอง ข้อห้าม 

ข้อห้ามนี่แหละเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดที่ต้องศึกษาหาข้อมูล และถามใจตนเองก่อนว่าสามารถทำตามได้หรือไม่ โดยข้อห้ามสำหรับผู้ที่ลงนะหน้าทอง มีดังนี้

• ห้ามพูดหยาบคาย ด่าพ่อว่าแม่
• ห้ามบ้วนน้ำลายลงโถส้วม
• ห้ามกินของเหลือจากคนอื่น ห้ามกินน้ำร่วมกับผู้อื่น (ร่วมแก้ว ร่วมขวด)
• ห้ามกินของเซ่นไหว้ ของงานศพ
• ห้ามลอดราวตากผ้า
• ห้ามคนเล่นหัว
• ห้ามลอดต้นกล้วยที่มีหัวปี
• ห้ามลอดใต้ถุนบ้าน ที่มีศพอยู่บนบ้าน

ข้อห้ามต่าง ๆ นั้นจะมีแตกต่างกันไปบ้าง ขึ้นอยู่กับพระเถราจารย์ หรือผู้ที่มีความชำนาญในด้านนี้เป็นผู้ลงนะหน้าทองให้ได้กำหนดไว้

ลงนะหน้าทอง ที่ไหนดี

การลงนะหน้าทองในสมัยโบราณผู้ที่ทำหน้าที่ลงได้จะต้องเป็นพราหณ์เท่านั้น แต่ปัจจุบันเวลาผ่านไปได้มีการรับศิษย์เป็นฆราวาส ทำให้พบเห็นฆราวาส หรือพระอาจารย์ก็สามารถทำพิธีนี้ได้เช่นกัน โดยสถานที่ที่นิยมไปทำพิธีการลงนะหน้าทอง เช่น

ลงนะหน้าทอง วัดบางพระ

วัดบางพระ ต.บางแก้วฟ้า อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม วิชาการลงนะหน้าทองของวัดบางพระ เริ่มปรากฏชื่อเสียงในสมัยของพระเดชพระคุณพระอุดมประชานาถ (หลวงพ่อเปิ่น ฐิตคุโณ) ซึ่งท่านได้ร่ำเรียนวิชามาจากหลวงพ่อหิ่ม อินฺทโชโต ผู้เป็นอดีตเจ้าอาวาสวัดบางพระ และยังเป็นพระเถราจารย์ซึ่งขึ้นชื่อเลื่องลือในด้านพระเวทย์อาคมเป็นอย่างยิ่ง 

ผู้ที่ผ่านพิธีกรรมการลงนะหน้าทองไปแล้วเชื่อกันว่าหน้าตาจะผ่องใสดุจทองคำ เป็นผู้ที่มีเมตตาคนนิยมรักใคร่เสน่หา กล่าวกันว่าทองคำเปลวที่ลงไปนั้นจะติดหน้าผากผู้ที่ลงไปจนวันตาย

ลงนะหน้าทอง วัดพิชยญาติการาม

วัดพิชยญาติการาม เขตคลองสาน กรุงเทพฯ การลงนะหน้าทองของวัดแห่งนี้ทำการลงโดย “อาจารย์โชคดี” หรือ พระครูวศินปริยัตยากร ผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในอาจารย์ผู้เข้มขลังในวิชาลงนะหน้าทองตามแบบฉบับมอญโบราณ สั่งสมศรัทธามาอย่างยาวนาน จนกระทั่งทุกวันนี้มีลูกศิษย์ลูกหาแวะเวียนมากราบนมัสการกันไม่ขาดสายทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ

ด้วยศรัทธาเชื่อกันในเรื่องเมตตามหานิยม ค้าขายแคล่วคล่อง หยิบจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด ที่สำคัญใครเห็นเป็นรัก นิยมชมชอบ อยากเจรจาคบหาด้วย อีกทั้งเจ้านายหัวหน้าก็จักรักใคร่ เมตตา เอื้ออาทรมากอักโข ถึงขั้นคาดหวังลาภยศ ตำแหน่ง เงินเดือนเพิ่มได้ทีเดียว

ลงนะหน้าทอง วัดป้อมรามัญ

วัดป้อมรามัญ ต.สวนพริก อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นที่โด่งดังมานานสำหรับผู้มีความเชื่อทางด้านมหาเวท กับ พระอาจารย์แดง เกจิชื่อดังด้านเมตตามหานิยม 

ผู้คนมักนิยมเดินทางมาทำพิธีลงนะหน้าทอง โดยเฉพาะเหล่านักแสดง ดารา นักร้อง เช่น ขวัญ อุษามณี, จ๊ะ อาร์สยาม, ปู ไปรยา เป็นต้น ด้วยคำร่ำลือที่ว่าใครได้มาลงนะหน้าทองแห่งนี้ กลับไปจะมีแต่คนเมตตา คนนิยมชมชอบ เงินทองไหลมาเทมา

ลงนะหน้าทอง วัดไผ่ล้อม

วัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม โดยพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ หรือหลวงพี่น้ำฝน เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม ทำพิธีลงนะหน้าทอง บริกรรมพระคาถาอธิษฐานจิตลงอักขระยันต์ ‘นะเมตตาม้วนโลก’ จารึกลงที่เนื้อทองคำ ให้ละลายหายเข้าไปที่แก้มทั้ง 2 ข้าง 

จากนั้นก็จะลงอักขระเขียนยันต์ล้อมรอบบริเวณที่ปาก ด้วยยันต์นะเมตตา มหาละลวย พูดจาปราศรัย มีแต่คนรัก คนเมตตา เกิดเป็นมหาเสน่ห์ มหามงคล ปิดทองบริเวณ มือซ้าย 1 แผ่น มือขวา 1 แผ่น โดยจะบริกรรมพระคาถา อธิษฐานจิตลงอักขระยันต์ ‘นะเมตตาม้วนโลก’ เพื่อความเป็นสิริมงคล

สรุป

การลงนะหน้าทอง เป็นศาสตร์ที่ส่งทางด้านการเสริมดวงชะตาบารมี เสริมสิริมงคล รวมไปถึงเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ และโชคลาภ จัดเป็นวิชาไสยศาสตร์ที่มีอำนาจ ชั้นสูงที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธคุณ ไม่ใช่วิชาสายต่ำหรือมนต์ดำ

ผู้คนนิยมมาลงนะหน้าทองกันกันทุกสายอาชีพ เพราะเชื่อว่าทำให้เกิดมีเสน่ห์ที่ใบหน้า ค้าขายเจริญรุ่งเรือง มีคนรักใคร่เอ็นดูเมตตาเจ้านายเมตตาสม่ำเสมอ การงานก้าวหน้า โดยส่วนใหญ่แล้วการลงนะหน้าทองนั้นมักจะนิยมลงเป็นจุด ๆ ไป คือ หน้าผาก แก้ม หรือคาง 

ซึ่งพลังอำนาจจะส่งเสริมได้ขึ้นอยู่กับความศรัทธาและการปฏิบัติตน ผู้ที่ลงจะต้องคำนึงทั้งก่อนและหลังให้ดี ก่อนที่จะทำพิธีลงนะหน้าทอง โดยมีข้อห้ามต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องรู้หลัก ๆ ทั้งหมด 8 ข้อตามที่ได้กล่าวไปในหัวข้อด้านบน และจะจะมีแตกต่างกันไปบ้าง ขึ้นอยู่กับพระเถราจารย์ หรือผู้ที่มีความชำนาญในด้านนี้เป็นผู้ลงนะหน้าทองให้ได้กำหนดไว้

แต่ที่ลึกลงไปนอกเหนือจากความศรัทธาและคาถาอาคมของครูบาอาจารย์แล้ว สิ่งที่แฝงมาด้วยก็คือ การเตือนสติให้อยู่ในศีลในธรรมและเป็นคนดี เพราะแม้จะลงคาถาเต็มตัวสักแค่ไหน แต่เป็นคนพาล ไม่มีศีลธรรม ไม่มีคุณธรรม ก็ไม่มีค่าไร้ความหมายใดใด