หากจะเอ่ยถึง บทสวด ที่ให้ผลอย่างน่าอัศจรรย์ใจ หากได้ทำการสวดอย่างสม่ำเสมอ นั่นคือ อาฏานาฏิยปริตร บทสวดพระปริตร เพื่อคุ้มครองและป้องกันภัย เป็นบทสวดมนต์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ และสําคัญมากในพุทธศาสนา ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เป็นการสวดพระพุทธวจนะ ช่วยคุ้มครองป้องกันภัย แก่ผู้สวดทำให้เกิดความสุขสวัสดิ์ ผ่อนปรนเรื่องร้ายๆ ให้กลายเป็นเบา
ณ ปัจจุบันนี้มีข่าวภัยต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นจากสัตว์ร้าย หรืออุบัติภัย หรือแม้แต่จากคนด้วยกันเอง เป็นเรื่องน่ากลัวอย่างมาก จะต้องทำอย่างไรให้ตัวเราพ้นจากภัยต่าง ๆ เหล่านี้? “อาฏานาฏิยปริตร” นี่อาจจะเป็นแนวทางคำตอบของคำถามนี้ในแบบพวกเราชาวพุทธนี้ก็ได้
สารบัญ
Toggleทำไมต้องสวด บทสวด อาฏานาฏิยปริตร
1.เป็นการสรรเสริญคุณ ผู้ที่มีจิตเลื่อมใสต่อพระพุทธเจ้านิยมใช้สวดเพื่อสรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้า ด้วยคงามศรัทธาเลื่อมใสอย่างมั่นคง เป็นเหตุทำอะไรก็จะมีแต่ความสำเร็จรุ่งเรือง
2.เป็นการแผ่จิตที่เมตตา ซึ่งมีความเชื่อกันว่าหากเราได้แผ่เมตตาจิตอุทิศให้ แผ่ให้ ให้แด่เหล่าเทวดา มนุษย์ อมนุษย์สรรพสัตว์ สรรพวิญญาณทั้งหลาย จะทำเราอยู่ดีมีสุข ปลอดภัย สงบร่มเย็น พ้นทุกข์ พ้นโศกพ้นโรค พ้นภัย มีโชคลาภ กางานสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว
3.การสวดมนต์เป็นการฝึกสมาธิอย่างหนึ่ง ที่จะทำให้ผู้สวดเกิดความสงบได้เพราะขณะที่สวดนั้น อาฏานาฏิยปริตร เป็นบทสวดที่ค่อนข้างยาว ทำให้ต้องมองตัวหนังสืออ่านบทสวดไปแต่ละตัวอักษร แต่ละวรรค แต่ละบทแต่ละตอน ไม่ให้ผิด จิตในขณะนั้นจะรวมตัว จะช่วยดับความฟุ้งซ่านลง เกิดเป็นสมาธิได้เป็นอย่างดี
4.เป็นการฝึกความอดทนให้แก่ตัวเองได้อย่างหนึ่งเพราะเรต้องนั่งพนมมือ นั่งคุกเขา นั่งขัดสมาธิ หรือนั่งพับเพียบเป็นเวลานานพอสมควร เป็นการฝืนกาย ฝืนใจ บังคับกายใจในขณะสวดไปจนจบได้ ทำให้เกิดความอดทนแกร่งกล้า หากเป็นผู้ที่ไม่มีความอดทน ย่อมไม่มีทาประสบความสำเร็จ ความสุขในชีวิตได้เลย
5.การสวดมนต์เป็นการที่ชาวพุทธช่วยกันรักษาพระธรรม ทำให้พระพุทธศาสนายังคงอยู่ต่อไป บทสวดมนต์เป็นหลักธรรมสำคัญ ที่จะต้องรักษาไว้
6.เป็นการช่วยขจัด กิเลส และความมีอกุศลต่าง ๆ ได้ เช่น กำจัดความติดในสุข ความพยาบาทความหงุดหงิดไม่พอใจ ความฟุ้งซ่านรำคาญ ความถือตัวถือตน ความเกียจคร้านให้เบาบางจางหายจนหมดไปได้
7.เพื่อเป็นมงคลแก่ชีวิต ก็คือจะมีแต่สิ่งดีงาม หากเมื่อได้สวดอย่างสม่ำเสมอจะทำให้เป็นมงคลแก่ชีวิต เกิดเป็นพลังที่จะนำความสุข ความเจริญมาสู่ตนเอง และครอบครัว รวมถึงหน้าที่การงานได้อย่างไม่ต้องสงสัย
8.ขัดเกลาจิตที่ไม่สะอาด สภาพจิตที่ไม่ดี มองโลกในแง่ร้าย จดจำแต่สิ่งที่ทำให้เป็นทุกข์ จิตที่รวมเอากิเลสต่าง ๆ ให้เป็นจิตใจที่สะอาด บริสุทธิ์ สงบ ทำให้มีพลังมีปัญญา สามารถที่จะนำพาชีวิตตนเอง และบุคคลอื่นให้มีความสุข มีความเจริญก้าวหน้าได้
9.สามารถที่จะช่วยรักษาโรคได้ การสวดมนต์นั้นสามารถช่วยบำบัด ช่วยรักษา และช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ได้ ยิ่งถ้าเป็นโรคที่เกี่ยวเนื่องด้วยกับสภาพจิตใจยิ่งได้ผลดีมาก จะสังเกตได้ว่าผู้ที่ชอบสวดมนต์เป็นประจำหน้าตาจะผ่องใส เพราะเมื่อจิตใจสบาย ก็มีผลส่งต่อมายังร่างกายให้แข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บได้
10.เป็นบุญสมบัติที่จะต้องทำด้วยตัวเอง เพราะเราชาวพุทธเชื่อกันถึงชาติภพ การที่สวดมนต์ก็เป็นบุญอย่างหนึ่งที่เราสามารถสะสมเพื่อว่าชาติต่อไปเราจะได้เกิดในภพชาติที่ดี ได้แต่ในสิ่งที่ดีๆ พบแต่สิ่งที่ดีๆ อยู่แต่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีๆ สภาพความเป็นอยู่ที่ดี ไม่ต้องทุกข์ยาก
ที่มา บทสวด อาฏานาฏิยปริตร
เกิดเมื่อท้าวมหาราชทั้งสี่คือ ท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักข์ และท้าวเวสสุวัณ ตั้งใจจะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่เกรงว่าหากพวกอสูรรู้ว่าบนดาวดึงส์ไม่มีใครอยู่ ก็อาจถือโอกาสมากวน ซึ่งพวกตนก็อาจกลับมาไม่ทัน จึงได้จัดตั้งกองทหารไว้ ๔ กอง ประกอบด้วยคนธรรพ์ ยักษ์ นาครักษาแต่ละทิศไว้ แล้วพากันไปประชุมที่อาฏานาฏิยนคร แล้วผูกมนต์เป็นอาฏานาฏิยปริตรขึ้น
จากนั้นก็พากันไปเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมบริวารเป็นจำนวนมาก แต่ปรากฏว่าบริวารของท้าวมหาราชเหล่านี้ ต่างก็มีปฏิกิริยาต่อพระพุทธองค์ต่างๆ กัน เพราะบ้างก็นับถือ บ้างก็ไม่เชื่อถือ จนเป็นเหตุให้บรรดาสาวกของพระพุทธเจ้าที่ไปบำเพ็ญธรรมตามที่ต่างๆ ต้องถูกผี ปีศาจ ยักษ์ที่ไม่เลื่อมใสเหล่านี้รบกวน จนเจ็บไข้ได้ป่วย หรือเป็นอันตรายต่างๆ นานา
ท้าวเวสสวัณจึงได้กราบทูล ขอให้พระพุทธองค์รับอาฏานาฏิยปริตร ไว้ประทานแก่สาวกของพระองค์ เพื่อป้องกันมิให้ยักษ์ และภูตผีปีศาจรบกวนซึ่งเนื้อความ เป็นการสรรเสริญพระพุทธคุณของพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ และขอนอบน้อมพระพุทธเจ้าเหล่านั้นด้วยกาย วาจา ใจ ไม่ว่าเวลานอน เดิน นั่ง หรือยืน
ขอให้พระพุทธเจ้าเหล่านั้นได้คุ้มครองรักษาให้พ้นภัย พ้นโรค และความเดือดร้อนต่างๆ ปริตรบทนี้ใครเจริญภาวนาอยู่เป็นนิตย์ เชื่อว่ายักษ์ ผี ปีศาจก็จะช่วยคุ้มครองให้มีความสุขความเจริญ
ขั้นตอนในการสวด บทสวด อาฏานาฏิยปริตร
ให้ผู้สวดชำระล้าง อาบน้ำให้สะอาด แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สุกภาพ ใส่ชุดขาวได้จะดีมาก เริ่มการสวดมนต์ด้วยการสวดบทบูชาพระรัตนตรัย
บทบูชาพระรัตนตรัย
โย โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ,
ส๎วากขาโต เยนะ ภะคะวะตา ธัมโม,
สุปะฏิปันโน ยัสสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
ตัมมะยัง ภะคะวันตัง สะธัมมัง สะสังฆัง, อิเมหิ สักกาเรหิ
ยะถาระหัง อาโรปิเตหิ อะภิปูชะยามะ,
สาธุ โน ภันเต ภะคะวา สุจิระปะรินิพพุโตปิ,
ปัจฉิมา ชะนะตานุกัมปะมานะสา,
อิเม สักกาเร ทุคคะตะปัณณาการะภูเต ปะฏิคคัณหาตุ,
อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ,
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา,
พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ. (กราบ)
ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม,
ธัมมัง นะมัสสามิ. (กราบ)
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ,
สังฆัง นะมามิ. (กราบ)
อาราธนาศีล 5
มะยัง ภันเต/ วิสุง วิสุง/ รักขะณัตถายะ/
ติสะระเณนะ สะหะ/ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ//
ทุติยัมปิ มะยัง ภันเต/ วิสุง วิสุง/ รักขะณัตถายะ/
ติสะระเณนะ สะหะ/ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ//
ตะติยัมปิ มะยัง ภันเต/ วิสุง วิสุง/ รักขะณัตถายะ/
ติสะระเณนะ สะหะ/ ปัญจะ สีลานิ ยาจามะ//
สมาทานศีล 5
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ฯ (ว่า ๓ จบ)
พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
ปาณา ติปาตา เวระมณี สิกขา ปะทังสะมาธิยามิ
อทินนา ทาณา เวระมณี สิกขา ปะทังสะมาธิยามิ
กาเม สุมิฉา จารา เวระมณี สิกขา ปะทังสะมาธิยามิ
มุสา วาทา เวระมณี สิกขา ปะทังสะมาธิยามิ
สุราเมระยะ มัชชะปะมา ทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สมาธิยามิ
บทขัดอาฏานาฏิยปริตร
อัปปะสันเนหิ นาถัสสะ สาสะเน สาธุสัมมะเต
อะมะนุสเสสิ จัณเฑหิ สะทา กิพพิพิสะการิภิ
ปะริสานัญจะตัสสันนะ- มะหิงสายะ จะ คุตติยา
ยันเทเสสิ มะหาวีโร ปะริตตัน ตัมภะณามะ เห ฯ
อาฏานาฏิยปริตร (ย่อ)
วิปัสสิสสะ นะมัตถุ จักขุมันตัสสะ สิรีมะโต
สิขิส สะปิ นะมัตถุ สัพพะภู ตานุกัมปิโน
เวสสะภุสสะ นะมัตถุ นหาตะกัสสะ ตะปัสสิโน
นะมัตถุ กะกุสันธัสสะ มาระ เสนัปปะมัททิโน
โกนาคะมะนัสสะ นะมัตถุ พราหมะณัสสะ วุสีมะโต
กัสสะปัสสะ นะมัตถุ วิปปะมุตตัสสะ สัพพะธิ
อังคีระสัสสะ นะมัตถุ สักยะปุตตัสสะ สิรีมะโต
โย อิมัง ธัมมะมะเทเสสิ สัพพะทุกขาปะนูทะนัง
เย จาปิ นิพพุตาโลเก ยะถาภูตัง วิปัสสิสุง
เต ชะนา อะปิสุณา มะหันตา วีตะ สาระทา
หิตัง เทวะมะนุสสานัง ยัง นะมัสสันติ โคตะมัง
วิชชาจะระณะสัมปันนัง มะหันตัง วีตะสาระทัง ฯ
อานิสงส์ที่ได้จาก บทสวด อาฏานาฏิยปริตร
1.อาฏานาฏิยปริตร ป้องกันภัยจากอมนุษย์ ยักษ์ ภูตผีปีศาจทั้งหลายจะไม่ทำอันตรายและจะให้การอารักขา คุ้มครองให้ปลอดภัย ทำให้มีสุขภาพดี ไม่มีโรค ไม่มีอันตราย มีความสุข และมีอายุยืน
หากผู้สวดพระปริตรมีเมตตาจิตเป็นที่ตั้ง แล้วสวดด้วยคิดจะช่วยขจัดปัดเป่าให้เขาพ้นทุกข์ ตามความมุ่งหมายของพระปริตร และ หากในขณะสวดมีจิตใจมั่นคง ไม่ฟุ้งซ่าน พระปริตรจะ มีเดช มีอานุภาพ มีฤทธานุภาพเหลือประมาณ
2.การเปล่งเสียงพระปริตรด้วยจิตที่เลื่อมใส ศรัทธาอย่างจริงใจ และพร้อมกับจินตนาการว่าเป็นยาวิเศษมีสรรพคุณดี ไม่น้อยไปกว่ายาอื่น ๆ ทั้งหลาย สามารถที่จะเป็นยารักษาให้หายจากโรคภัยได้ ทำให้มีสุภาพแข็งแรง
3.การตั้งใจสวดนั้นแสดงได้ถึงความเมตตารักใคร่ที่มีต่อกัน จะช่วยเพื่อป้องกันและปัดเป่าภยันตรายออกไป เป็นการน้อมนำอานุภาพพระพุทธคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัจจะ และ พระธรรม ความเมตตากรุณา จะแผ่ออกไปกว้างขวางอย่างไม่มีขอบเขต
4.เมื่อได้รวมกันสวดพร้อมกันเป็นจำนวนมากก็จะได้ พลานุภาพอันกว้างใหญ่มีพลังที่ประมาณไม่ได้มากขึ้นไปอีก การอธิษฐานจิตอุทิศอานิสงส์ย่อมได้ผลที่ยิ่งใหญ่มีพลัง เช่น เมื่อคนไทยพร้อมใจกันนำเทียนที่จุดอยู่ที่บ้านของตน
หรือมาจุดพร้อมกันร่วมกันที่ท้องสนามหลวง ย่อมทำให้สว่างไสวปกคลุมไปได้ทั่วทั้งประเทศ เหมือนกันหากเราชาวพุทธได้มีการสวดอย่างพร้อมเพรียงกัน ก็จะทำให้มีพลังพลานุภาพอันกว้างใหญ่ช่วยให้ประเทศพ้นภัยไอย่างน่าอัศจรรย์
สรุป
การสวด อาฏานาฏิยปริตรนั้น เป็นการสวดเพื่อแสดงการนอบน้อมในพระคุณของพระพุทธเจ้า สิ่งนี้้เองจะช่วยนำให้เกิดความปลอดภัยพ้นจากเหล่าภูตผีปีศาจ สิ่งชั่วร้าย ที่มาในรูปต่าง ๆ เช่น จากคนพาล และข้อสำคัญในการสวดในขณะสวดก็ดี สวดแล้วก็ดี ควรตั้งอกตั้งใจ ทำด้วย ความจริงใจ เต็มใจ พอใจ สุขใจดีใจ ภูมิใจ สวดให้เกิดความสงบ ความสุข เกิดเป็นบุญเป็นกุศลก็จะทำให้เกิดสติ เกิดสมาธิ เกิดปัญญา นำความสุข ความเจริญมาสู่ตนเอง สามารถติดตามบทความดี ๆ ที่ Ruay365 ได้ทุกวัน