ถ้าพูดถึง วัตถุมงคล เครื่องรางของขลังที่คนไทยนิยมบูชา เพื่อเรียกโชคลาภ เงินทอง หรือให้ช่วยคุ้มครอง ป้องกันภัย ก็คงร่ายมาไม่หมด ไม่ว่าจะเป็นพระเกจิชื่อดัง เจ้าพ่อเจ้าแม่ ตะกุด ยันต์ กุมาร หรือเทพต่าง ๆ และอีกสารพัดของขลัง ใครจะบูชาอะไร ก็ขึ้นอยู่กับจะศรัทธาของแต่ละคน แต่รู้ไหมว่า?!! ไม่ได้มีแค่ประเทศไทยเท่านั้นที่มีความเชื่อในเรื่องเหล่านี้ ต่างประเทศเขาก็มีเหมือนกัน ส่วนเขาจะมีอะไร พกวัตถุอะไรติดตัวติดบ้านบ้างนั้น เราไปดูกันดีกว่า….
1. เกล็ดปลาคาร์ฟ – โปแลนด์
ตามหลักของจีน ชื่อ ปลาคาร์ฟ มาจากคำว่า หลี่ หมายถึง ผลกำไรอันมหาศาล ผู้ทำธุรกิจค้าขายจึงนิยมเลี้ยงปลาชนิดนี้ เพื่อเสริมพลังให้ธุรกิจขับเคลื่อนและพัฒนาไปได้ตลอด เสมือนท่วงท่าการว่ายของปลาคาร์ฟที่มีความสง่างาม และเคลื่อนไหวอยู่ตลอดไม่หยุดนิ่ง
ขณะเดียวกันแถบยุโรปอย่างประเทศโปแลนด์ ก็เชื่อว่า… เกล็ดปลาคาร์ฟ สามารถนำโชคได้ ประเทศแถบนี้จึงนิยมทานปลาคาร์ฟในวันคริสต์มาส เพราะเมื่อทานเสร็จก็จะได้หยิบเกล็ดปลาคาร์ฟมาใส่ไว้ในกระเป๋าสตางค์ และใส่จนกว่าจะถึงวันคริสต์มาสอีฟต่อไป เนื่องจากเชื่อว่านี่เป็นวิธีที่จะนำโชคมาให้ในปีหน้านั่นเอง
2. แมวกวัก Maneki-neko – ญี่ปุ่น
มะเนะคิเนะโกะ (まねきねこ) หรือ แมวกวักญี่ปุ่น คือรูปปั้นแมวตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น มีความเชื่อกันมาตั้งแต่โบราณว่าการกวักอุ้งเท้าของแมวจะช่วยเรียกความโชคดี เรียกทรัพย์ ทำให้การค้าขายรุ่งเรือง และจะนำโชคลาภเงินทองมาให้เจ้าของ สำหรับร้านค้าก็จะดึงดูดลูกค้าให้เข้าร้านเช่นเดียวกับนางกวักของไทย นอกจากนี้ยังมีความเชื่อมากมายเกี่ยวกับขาของแมวกวัก เช่น ยกขาซ้ายขึ้นจะให้โชคด้านเงินทอง หากยกขาขวาจะให้โชคในด้านสุขภาพ
ส่วนรูปร่างหน้าตาของ มะเนะกิเนะโกะ หรือ แมวกวัก มีลักษณะคล้ายคลึงกับแมวพันธุ์พื้นเมืองของญี่ปุ่นชนิดหนึ่งที่ไม่มีหางที่เรียกว่า เชอแปนิสบ๊อบเทล (Japanese Bobtail)
ตำนานแมวกวัก
ตำนานแมวกวักนั้นมีหลายเรื่องราวที่เล่าขานต่อ ๆ กันมา ในที่นี้จะเล่าถึงตำนานที่ว่า …..
ในยุคเอะโดะ มีหญิงชราคนหนึ่งยากจนมาก เธอเลี้ยงแมวตัวหนึ่งและรักแมวมาก มีกินก็กินร่วมกับแมว อดก็อดพร้อมกับแมว จนในที่สุดก็ไม่สามารถเลี้ยงเจ้าแมวไหว จึงนำไปปล่อยมัน เธอเสียใจมาก นอนร้องไห้ทั้งคืนและฝันว่าแมวมาบอกเธอว่า..ให้ปั้นรูปแมวจากดินเหนียวแล้วเธอจะโชคดี
เช้าวันรุ่งขึ้นหญิงชราก็ตื่นขึ้นมาปั้นแมวจากดินเหนียวตามคำบอกกล่าวของแมวเลี้ยงในฝัน ไม่ทันไรก็มีคนแปลกหน้าเดินผ่านหน้าบ้านขอซื้อตุ๊กตาแมวปั้น ปั้นแล้วปั้นเล่าก็มีคนมาขอซื้ออยู่เรื่อยไป
เธอจึงเริ่มมีเงินทองจากการขายตุ๊กตาแมว สุดท้ายสามารถนำแมวเลี้ยงสุดที่รักของเธอกลับมาเลี้ยงได้อีกครั้งหนึ่ง ตั้งแต่นั้นมาจึงเป็นที่ร่ำลือว่า แมว เป็นสัตว์นำโชค และมีการปั้นและวางแมวกวักไว้ตามที่ต่าง ๆ
ความหมายตามลักษณะของแมวกวักญี่ปุ่น
- แมวที่ยกเท้าขวาขาหน้าขึ้นบน ช่วยเรียกเงินทองและโชคลาภมาให้
- แมวสีทองที่ยกเท้าซ้ายขาหน้าขึ้นบน ทำให้ร่ำรวยมีเงินหมื่นเงินแสน
ความหมายอื่น ๆ เพิ่มเติมของแมวกวักนำโชค
- กวักมือซ้าย = การงาน
- กวักมือขวา = โชคลาภ
- แมวถือลูกแก้ว , แมวพนมมือ = การขอพร
3. ฮัมซา Hamsa – ตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ
ฮัมซา หรือ คัมซา (Khamsa) มีลักษณะคล้ายฝ่ามือ นิ้วโป้งและนิ้วก้อยมีความสูงและขนาดเท่ากัน ตรงกลางฝ่ามือเป็นรูปดวงตา ฮัมซานั้นมีประวัติความเป็นมายาวนานหลายพันปี นับตั้งแต่สมัยก่อนที่ชาวฟินิเชียอาศัยอยู่ในบริเวณเมดิเตอเรเนียน และนับถือเทพเจ้าหญิงที่ชื่อว่า ทานิท ผู้ซึ่งคอยปกปักรักษาเมืองให้อยู่รอดปลอกภัย สัญลักษณ์มือของฮัมซาจึงมีที่มาจากมือของทานิทนั่นเอง ที่สำคัญมากกว่านั้นคือในตอนนั้นฮัมซาถูกใช้เพื่อป้องกันพลังจากดวงตาแห่งชั่วร้าย หรือ Evil eye จึงทำให้เป็นที่มาของสัญลักษณ์
ปัจจุบันฮัมซานิยมใช้เป็นสิ่งของประดับบ้านและเป็นเครื่องรางป้องกันตัว ชาวอาหรับหรือชาวตะวันออกกลางบางคน ยังใช้ฮัมซาเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงถิ่นกำเนิดของพวกเขา นอกจากนี้ฮัมซายังใช้เป็นสัญลักษณ์แห่งความอิสระเสรีในปัจจุบันได้อีกด้วย
4. ดวงตาปีศาจ Evil Eye – ตุรกี
Evil Eye หรือ ดวงตาปีศาจ เป็นเครื่องรางยอดนิยมของประเทศตุรกี ใช้เพื่อป้องกันสิ่งชั่วร้าย อำนาจมืดจากสิ่งชั่วร้ายนานาประการ ป้องกันจากนัยน์ตาปีศาจที่มุ่งร้ายคอยจับจ้อง ป้องกันจากผู้ไม่ประสงค์ดีต่อผู้ที่มีไว้ครอบครอง โดยมีความเชื่อดั้งเดิมจากชาวกรีกและโรมโบราณที่ว่าเวลาใครได้รับการชื่นชมหรือยกยอมาก ๆ มักจะมีคนอิจฉาและมีผู้ประสงค์ร้าย จึงเรียกดวงตาของบุคคลเหล่านั้นว่า ดวงตาแห่งปีศาจ หรือ Evil eye
จากความเชื่อดังกล่าว จึงมีการสร้างเครื่องรางรูปร่างคล้ายดวงตาขึ้นมา เพื่อใช้ป้องกันและปัดความชั่วร้ายหรือความประสงค์ร้ายให้ออกจากตัวเราไป ส่วนที่ตั้งชื่อว่าดวงตาปีศาจ ก็เพื่อให้เหมือนกับชื่อสิ่งร้าย ๆ ที่เราอยากกำจัดออกไป และเหตุที่ต้องเป็นดวงตา ก็เพราะว่าดวงตาเป็นอวัยวะที่ทรงพลังมาก สามารถถ่ายทอดความรู้สึกผ่านแววตาได้ ดังนั้นหากใครมามองเราด้วยสายตาที่ไม่ดี หรือคิดไม่ดีกับเรา เราก็ใช้ดวงตาแห่งปีศาจของเราจ้องกลับไปเพื่อการป้องกันตัวเอง
5. ซีบีด Dzi Bead – วัตถุมงคลทิเบต
Dzi bead อ่านว่า ซีบีด หรือหินทิเบตที่คนไทยเรียกกัน โดยคำว่าซี (Dzi) มาจากภาษาทิเบตที่แปลว่า “ผลกรรมที่ดี หรือความเป็นเกียรติและความสมบูรณ์แบบ” ซีบีดจึงเป็นเครื่องรางนำโชคที่จะนำพลังงานดีๆ เข้าสู่ตัวผู้ที่ครอบครองมัน นอกจากนั้นยังเป็นเครื่องรางแห่งการป้องกันอีกด้วย สิ่งที่เราสังเกตได้ก็คือบนหินซีบีดนั้นจะมีลวดลายที่ดูเผินๆ เหมือนจะคล้ายกัน แต่จริงๆ แต่ละอันก็ต่างกันพอสมควร
ซีบีดของแท้ดั้งเดิมจะทำมาจากอาเกต (agate) หินอัญมนีชนิดหนึ่ง และตกแต่งด้วยลวดลายต่างๆ เช่น วงกลม, วงรี, สี่เหลี่ยม, ลายคลื่น, ซิกแซก และอื่นๆ และสีที่นิยมก็คือสีน้ำตาลเข้มกับดำ ส่วนลายนั้นจะใช้สีขาวค่ะ
6. ด้ายแดงนำโชค Kabbalah – วัตถุมงคล ศาสนายิว
Red string หรือ ด้ายแดงนำโชค เป็นของวัฒนธรรมชาวยิวที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ซึ่งการผูกด้ายสีแดงไว้ที่ข้อมือสำหรับชาวยิวนั้นมีความหมายเหมือนกับเครื่องลางดวงตาปีศาจของตุรกี คือช่วยปัดเป่าชั่วร้ายให้ออกไปจากตัวผู้สวมใส่ โดยประเพณีนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของนิกายคับบาลาห์ (Kabbalah) ของศาสนายิว ด้ายสีแดงนี้จะทำจากด้ายหรือเชือกสีแดง ใช้สวมใส่ที่ข้อมือขางซ้ายเหมือนสร้อยข้อมือทั่วๆ ไป โดยตอนผูกเงื่อนจะผูกทั้งหมด 7 ครั้งด้วยกัน
7. โอมะโมะริ Omamori – ญี่ปุ่น
โอมะโมะริ (Omamori) มีความหมายว่า ป้องกัน แต่เดิมโอมะโมะริทำจากกระดาษหรือไม้ และห่อหุ้มอีกชั้นหนึ่งด้วยผ้าที่มีสีสรรสวยงามและเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว ภายในจะบรรจุคำอธิษฐานและข้อความที่ต่างกันไป เช่น ความรัก การเรียน การเงิน การงาน เป็นต้น ทว่าความหมายหลัก ๆ ของโอมาโมริก็คือ การป้องกันภัยและนำโชคดีมาให้เจ้าของ นอกจากนี้ชาวญี่ปุ่นยังมีความเชื่อว่า..ห้ามแกะห่อโอมาโมริออกมาโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้คำอธิษฐานศักดิ์สิทธิ์เสื่อมคลายไป
8. สการับ Scarab – อียิปต์โบราณ
ในสมัยอียิปต์โบราณยกย่องให้แมลงปีกแข็งคล้ายด้วงหรือสการับ ให้เป็นแมลงศักดิ์สิทธิ์ จนมันถูกนำมาใช้เป็นเครื่องรางของขลัง โดยชาวอียิปตเชื่อกันว่าสการับนั้นมีความเกี่ยวข้องกับการขึ้น-ลงของดวงอาทิตย์ และเชื่อมโยงกับพระเจ้า Khepri ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งการสร้างสรรพสิ่ง นอกจากนี้สการับยังปรากฎอยู่ในอักษรไฮโรกลิฟิก อ่านว่า เคเปอร์ (kheper) มีความหมายว่า การเกิดหรือการเกิดใหม่ ตั้งแต่นั้นมาจึงเชื่อกันว่า…การมีเครื่องรางชนิดนี้ไว้ในครอบครองจะช่วยฟื้นฟูและเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ในชีวิตคนเราให้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการงาน การเรียน หรือแม้เเต่การเงินให้รวยวันรวยคืน
9. Tumi – วัตถุมงคล ประเทศเปรู
ตามความเชื่อในท้องถิ่นของชาวเปรู Tumi เป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดี คนเปรูจึงมักแขวนไว้อยู่บนผนังบ้าน นอกจากนี้รัฐบาล Peuvian ยังใช้มันเป็นสัญลักษณ์ของการท่องเที่ยวในประเทศอีกด้วย
10. ลูกโอ๊ก – อังกฤษ
ในประเทศอังกฤษมีคำคมโบราณกล่าวเอาไว้ว่า “จากเอคอร์นลูกเล็กๆในวันนี้กลายเป็นต้นโอ๊กที่กล้าแกร่งในวันหน้า” (From little acorns come mighty oaks) เอคอร์น (Acorn) นั้นเป็นผลของต้นโอ๊ก (Oak tree) ที่มีลักษณะเป็นผลไม้เนื้อแข็งและเป็นอาหารโปรดของสัตว์จำพวกพวกกระรอกและนกนานาชนิด เมื่อเอคอร์นโตขึ้นจะกลายเป็นต้นโอ๊คขนาดใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาผล เอคอร์นจึงกลายมาเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความเจริญเติบโตและความพัฒนาก้าวหน้าในชีวิตคน
ชาวตะวันตกเชื่อกันว่า… หากวางลูกเอคอร์นเอาไว้ในบ้าน เงินทองจะไหลมาเทมาและยังช่วยปกป้องไม่ให้ทรัพย์สินเงินทองสูญหาย รวมทั้งยังมีความเชื่อว่าผลเอคอร์นเป็นผลไม้มงคลที่จะดลบันดาลให้ผู้ใดที่มีไว้ในครอบครองจะมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและมีชีวิตที่ยืนยาว จึงได้มีการนำเอาผลเอคอร์นมาใช้เป็นของขวัญมอบให้แก่กันนั่นเอง
สรุป
คงสังเกตได้ใช่ไหมคะว่า… วัตถุมงคล เครื่องรางของขลังแต่ละประเทศนั้น ล้วนเกี่ยวโยงกับประเพณีและวัฒนธรรมของชนชาตินั้น ๆ เช่นเดียวกันกับเมืองไทยเรา ซึ่งนับถือศาสนาพุทธเป็นส่วนใหญ่ คนก็นิยมบูชาพระ หลวงพ่อวัดดัง เป็นต้น ส่วนในต่างประเทศอย่างเช่นอียิปต์เองก็มีการบูชาด้วง ซึ่งมีความเกี่ยวพันธ์และปรากฎอยู่ในประวัติศาสตร์โบราณ หรือจะเป็นการบูชาแมวกวักของญี่ปุ่นที่คล้าย ๆ กับการบูชานางกวักของคนไทย
แม้ว่าแต่ละประเทศจะมีเรื่องราว ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ ประเพณีและขนมธรรมเนียมที่แตกต่างกัน แต่ก็ใช่ว่าเราจะต้องบูชาวัตถุมงคลของประเทศหรือชาติของตนเองอย่างเดียวเสียเมื่อไหร่ นี่มัน 2020 แล้ว!! ยุคแห่งเทคโนโลยีและไร้ซึ่งเขตแดนทางความคิด ความเชื่อ รวมถึงวัฒนธรรม เราสามารถจะบูชาวัตุถุมงคลของชาติใดก็ได้ไม่จำเป็นต้องเป็นของในประเทศเท่านั้น เพราะที่สุดเเล้วความขลังและพลังของวัตถุเหล่านั้นก็ขึ้นอยู่กับความศรัทธาของผู้เคารพบูชานั่นเอง